• TH/EN
  • 099-1890189
  • MRT สุทธิสาร ทางออก 4
  • จันทร์-เสาร์: 10.00 - 20.00 น.
  • TH/EN
  • 099-1890189
  • MRT สุทธิสาร ทางออก 4
  • จันทร์-เสาร์: 10.00 - 20.00 น.

“โรคอ้วน”ภัยเงียบที่คุกคามสุขภาพ มีวิธีป้องกันและหลีกเลี่ยงอย่างไรบ้าง?

โรคอ้วน” ไม่ได้เป็นเพียงแค่ปัญหาน้ำหนักเกินหรือรูปร่างที่เปลี่ยนไปเท่านั้น แต่ยังเป็นภาวะที่สะท้อนถึงความไม่สมดุลของร่างกาย ซึ่งอาจนำไปสู่โรคเรื้อรังต่างๆได้ เป็นภัยเงียบที่กัดกินสุขภาพของใครหลายคนอย่างไม่รู้ตัว ซึ่งบางคนอาจมองข้ามความสำคัญของการควบคุมน้ำหนัก แต่แท้จริงแล้ว โรคอ้วนคือจุดเริ่มต้นของโรคร้ายแรงมากมายที่พร้อมจะคุกคามชีวิต

ในปัจจุบันโรคอ้วนถือเป็นปัญหาสาธารณสุขระดับโลก มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจากปัจจัยหลายด้าน ทั้งพฤติกรรมการกิน การขาดการออกกำลังกาย ความเครียด และสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการใช้ชีวิตแบบนั่งนิ่งมากขึ้น การทำความเข้าใจโรคอ้วนจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้เราสามารถป้องกันและจัดการได้อย่างเหมาะสมก่อนที่ปัญหาสุขภาพจะลุกลาม


โรคอ้วน คืออะไร?

โรคอ้วน (Obesity) เป็นภาวะที่ร่างกายมีการสะสมไขมันมากเกินไปจนกระทบต่อสุขภาพ ไม่เพียงแค่ทำให้รูปร่างเปลี่ยน แต่ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรังหลายชนิด เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ ปัจจุบันโรคอ้วนพบได้มากขึ้นในทุกเพศทุกวัย เนื่องจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตและการรับประทานอาหารที่ไม่สมดุล ทำให้การตระหนักรู้และป้องกันโรคอ้วนเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง

โดยทั่วไปมักวัดจากค่าดัชนีมวลกาย (BMI: Body Mass Index) ซึ่งคำนวณจากน้ำหนัก (กิโลกรัม) หารด้วยส่วนสูง (เมตร) ยกกำลังสอง หากมีค่า BMI ≥ 30 จะจัดอยู่ในเกณฑ์โรคอ้วน แต่ในคนเอเชีย(รวมถึงคนไทย) อาจใช้เกณฑ์ที่ต่ำกว่า คือ BMI ≥ 25 ก็ถือว่ามีภาวะอ้วนแล้ว


ทำไมคนเป็น”โรคอ้วน”ต้องลดน้ำหนัก?

การมีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน หรือเป็นโรคอ้วน ไม่ได้ส่งผลแค่ความไม่มั่นใจในตัวเอง แต่ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบการทำงานของร่างกายทั้งหมด เพราะไขมันส่วนเกินที่สะสมในร่างกายจะเข้าไปแทรกซึมตามอวัยวะต่างๆ ทำให้การทำงานของอวัยวะเหล่านั้นผิดปกติไป ทำงานได้น้อยลง และเป็นสาเหตุของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ซึ่งเป็นกลุ่มโรคที่เกิดจากการใช้ชีวิตที่ไม่เหมาะสมไม่สมดุลนั้นเอง


ปัจจัยภายนอกและภายในที่ก่อให้เกิด”โรคอ้วน

ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคอ้วน เหล่านี้จะช่วยให้เราเข้าใจว่าความอ้วนไม่ได้เกิดจากการกินมากเกินไปเพียงอย่างเดียว แต่มีหลายองค์ประกอบทั้งจาก “ภายในตัวเรา” และ “สิ่งแวดล้อมรอบตัว” รวมด้วยค่ะ

ปัจจัยภายใน (Internal Factors)

ปัจจัยภายในคือสิ่งที่อยู่ภายในตัวบุคคลนั้นๆหรือเป็นสิ่งที่ติดตัวมาแต่กำเนิด ซึ่งเป็นสิ่งที่เราอาจควบคุมไม่ได้ทั้งหมด แต่สามารถเรียนรู้ที่จะจัดการและดูแลตนเองได้

  • พันธุกรรม (Genetics): เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งที่ส่งผลต่อสุขภาพของเรา เช่น ความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวาน,โรคหัวใจ,โรคมะเร็งบางชนิด หรือแม้แต่รูปร่างและระบบการเผาผลาญในร่างกาย
  • อายุและเพศ (Age and Gender): อายุที่เพิ่มขึ้นทำให้ร่างกายเสื่อมถอยและมีความเสี่ยงต่อโรคบางอย่างมากขึ้น เช่น โรคข้อเสื่อม หรือโรคความจำเสื่อม ส่วนเพศก็มีผลต่อความเสี่ยงของโรค เช่น ผู้หญิงมีความเสี่ยงสูงต่อโรคกระดูกพรุน ส่วนผู้ชายมีความเสี่ยงสูงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด
  • ภาวะทางอารมณ์และจิตใจ (Emotional and Psychological State): ความเครียด,ภาวะซึมเศร้า หรือความวิตกกังวลเรื้อรัง สามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพกายได้โดยตรง เช่น ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง หรือเป็นสาเหตุของโรคกระเพาะอาหาร
  • พฤติกรรมสุขภาพ (Health Behaviors): แม้จะเป็นสิ่งที่เราเลือกได้ แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งของปัจจัยภายในที่สะท้อนถึงการดูแลตัวเอง เช่น พฤติกรรมการกิน,การออกกำลังกาย,การสูบบุหรี่,การดื่มแอลกอฮอล์ และการนอนหลับพักผ่อน ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้มีผลโดยตรงต่อการป้องกันหรือเกิดโรคต่างๆ

ปัจจัยภายนอก (External Factors)

ปัจจัยภายนอกคือสิ่งที่อยู่นอกตัวบุคคล แต่มีอิทธิพลต่อสุขภาพของเราอย่างมาก เป็นสิ่งที่มาจากสภาพแวดล้อมรอบตัว และมักจะเกี่ยวข้องกับสังคม,เศรษฐกิจ และการใช้ชีวิต

  • สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ (Physical Environment): สภาพแวดล้อมที่เราอยู่อาศัย เช่น คุณภาพอากาศ(มลภาวะ),น้ำ,ดิน,สารพิษ หรือความปลอดภัยของที่พักอาศัย
  • สิ่งแวดล้อมทางสังคมและเศรษฐกิจ (Socioeconomic Environment):
  1. เศรษฐกิจ: รายได้,การมีงานทำ,และความยากจน ล้วนส่งผลต่อการเข้าถึงอาหารที่มีคุณภาพ,การรักษาพยาบาล และการดูแลสุขภาพที่ดี
  2. การศึกษา: ระดับการศึกษาที่สูงขึ้นมักจะสัมพันธ์กับการมีความรู้ด้านสุขภาพและการเลือกพฤติกรรมที่ดีต่อสุขภาพ
  3. สังคมและวัฒนธรรม: ความเชื่อ,ค่านิยม,และวัฒนธรรมของชุมชนมีผลต่อการรับรู้เรื่องสุขภาพและการปฏิบัติตัว เช่น วัฒนธรรมการกิน,การดื่ม,หรือการเข้าสังคม
  • ระบบสาธารณสุข (Health Care System): การเข้าถึงบริการทางการแพทย์ที่ดี,คุณภาพของการรักษา,ค่าใช้จ่ายในการรักษา, และบุคลากรทางการแพทย์ ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยในการป้องกันและรักษาโรคได้ทันท่วงที


ทำไม”โรคอ้วน”เป็นอันตรายต่อชีวิต

1. เพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด

  • ไขมันสะสมทำให้ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดผิดปกติ และเกิดการอุดตันของหลอดเลือด → เสี่ยงหัวใจวายและอัมพาต

2. เสี่ยงเบาหวานชนิดที่ 2

  • ไขมันส่วนเกินรบกวนการทำงานของอินซูลิน ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงเรื้อรัง

3. ปัญหาการหายใจและหยุดหายใจขณะหลับ (Sleep Apnea)

  • ผู้ที่อ้วนมากมีไขมันรอบคอและหน้าอก ทำให้หายใจลำบากและหยุดหายใจขณะหลับ
  • เสี่ยงต่อภาวะหัวใจล้มเหลว

4. ทำให้ข้อเข่าและกระดูกเสื่อมเร็ว

  • น้ำหนักที่มากเกินไปเพิ่มแรงกดบนข้อ → ปวดเข่า ปวดหลัง และเคลื่อนไหวลำบาก

5. เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งบางชนิด

  • เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งเต้านม และมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก
  • ความผิดปกติของฮอร์โมนและการอักเสบเรื้อรัง

6. กระทบสุขภาพจิต

  • ผู้ป่วยโรคอ้วนมักเผชิญภาวะซึมเศร้า ความเครียด และการขาดความมั่นใจ ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพชีวิตโดยรวม


การป้องกันไม่ให้เกิด”โรคอ้วน

การป้องกันโรคอ้วนเป็นเรื่องสำคัญ เพราะโรคอ้วนสามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรังหลายชนิด เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และไขมันพอกตับ การป้องกันสามารถทำได้ทั้งในชีวิตประจำวัน โดยเน้นเรื่องพฤติกรรมการกินและการออกกำลังกาย ดังนี้:

การควบคุมอาหาร

  • กินอาหารให้สมดุล: เลือกอาหารครบ 5 หมู่ เน้นผัก ผลไม้ ธัญพืช,โปรตีนคุณภาพดี เช่น ปลา ไก่ ไข่ ถั่ว
  • ลดอาหารไขมันสูงและน้ำตาล: หลีกเลี่ยงอาหารทอด ขนมหวาน น้ำอัดลม และเครื่องดื่มหวาน
  • ควบคุมปริมาณอาหาร: ไม่กินเกินความต้องการพลังงานของร่างกาย
  • กินให้เป็นเวลา: พยายามกินอาหารเป็นมื้อและไม่กินจุบจิบบ่อยๆ

การออกกำลังกาย

  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ: อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ เช่น เดินเร็ว วิ่ง ว่ายน้ำ หรือปั่นจักรยาน
  • เพิ่มกิจกรรมในชีวิตประจำวัน: เช่น เดินขึ้นบันได แทนการใช้ลิฟต์ ทำงานบ้าน

การปรับพฤติกรรมและสิ่งแวดล้อม

  • นอนหลับเพียงพอ: 7–9 ชั่วโมงต่อวัน เพราะการนอนน้อยทำให้เกิดความอยากอาหารมากขึ้น
  • ลดความเครียด: เครียดมากทำให้กินอาหารมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว
  • ตรวจสุขภาพสม่ำเสมอ: ตรวจระดับน้ำตาล ไขมัน และน้ำหนัก เพื่อปรับพฤติกรรมทันที

ปัจจัยเสริม

  • ดื่มน้ำเพียงพอ: น้ำช่วยให้ระบบเผาผลาญทำงานดีและลดความหิว
  • หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารกลางดึก: เพราะร่างกายจะเผาผลาญได้น้อย

ประเมินดัชนีมวลกายเพื่อเช็คสุขภาพเบื้องต้น

  • การประเมิน ดัชนีมวลกาย(BMI – Body Mass Index): เป็นวิธีมาตรฐานง่ายๆเพื่อดูว่าร่างกายอยู่ในเกณฑ์น้ำหนักปกติหรือเสี่ยงต่อโรคอ้วน
  • ค่าเกณฑ์การประเมิน BMI : สำหรับคนเอเชีย อาจใช้เกณฑ์ที่ต่ำกว่า คือ BMI ≥ 25 ก็ถือว่ามีภาวะอ้วนแล้ว

ข้อแนะนำ

  • BMI ประเมินโดยรวม ไม่บอกไขมันเฉพาะส่วน เช่น กล้ามเนื้อเยอะก็อาจ BMI สูงแต่ไม่อ้วน
  • ควรประเมินร่วมกับ รอบเอว, อัตราส่วนเอวต่อสะโพก และสุขภาพโดยรวม


ภาวะแทรกซ้อนของ”โรคอ้วน

โรคอ้วนไม่ได้เป็นเพียงเรื่องน้ำหนักตัวที่มากเกินไป แต่ยังเป็นสาเหตุสำคัญของ ภาวะแทรกซ้อนต่อร่างกายและสุขภาพ หลายระบบ ดังนี้:

1.ระบบหัวใจและหลอดเลือด

  • ความดันโลหิตสูง (Hypertension)
  • โรคหัวใจและหลอดเลือด (Heart disease, Stroke)
  • ไขมันในเลือดผิดปกติ (High cholesterol, High triglycerides)

2. ระบบต่อมไร้ท่อและเมตาบอลิซึม

  • เบาหวานชนิดที่ 2 (Type 2 Diabetes)
  • ภาวะดื้อต่ออินซูลิน (Insulin resistance)
  • ไขมันพอกตับ (Non-alcoholic fatty liver disease)

3. ระบบทางเดินหายใจ

  • หยุดหายใจขณะหลับ (Sleep apnea)
  • หอบหืดและปัญหาการหายใจอื่นๆ

4. ระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ

  • ข้อเข่าและข้อสะโพกเสื่อม (Osteoarthritis)
  • อาการปวดหลังและปัญหากล้ามเนื้อ

5. ระบบทางเดินอาหารและระบบสืบพันธุ์

  • กรดไหลย้อน (GERD)
  • ความผิดปกติในการตั้งครรภ์และภาวะมีบุตรยาก
  • ภาวะฮอร์โมนเพศผิดปกติ เช่น PCOS (สำหรับผู้หญิง)

6. มะเร็งบางชนิด

  • มะเร็งเต้านม, มะเร็งลำไส้ใหญ่, มะเร็งตับ, มะเร็งไต

7. ผลกระทบด้านจิตใจและสังคม

  • ภาวะซึมเศร้า (Depression)
  • ความวิตกกังวล (Anxiety)
  • การตีตราทางสังคม (Social stigma, Bullying)

การหลีกเลี่ยงภัยจาก”โรคอ้วน”และการดูแลสุขภาพ

การป้องกันย่อมดีกว่าการแก้ไขเสมอ การเริ่มต้นดูแลตัวเองตั้งแต่วันนี้จะช่วยลดความเสี่ยงจากโรคอ้วนได้เป็นอย่างดี

  • ปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ: หากไม่แน่ใจเรื่องน้ำหนักหรือวิธีการลดน้ำหนักที่ถูกต้อง ควรปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการเพื่อขอคำแนะนำ
  • ตั้งเป้าหมายที่ทำได้จริง: ไม่จำเป็นต้องลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว ตั้งเป้าหมายเล็กๆ ที่ทำได้จริงและค่อยๆ เพิ่มขึ้นทีละน้อย
  • หาเพื่อนร่วมทาง: การลดน้ำหนักอาจเป็นเรื่องยาก ลองชวนเพื่อนหรือคนในครอบครัวมาร่วมออกกำลังกายหรือทำอาหารสุขภาพไปด้วยกัน
  • ติดตามผล: ชั่งน้ำหนัก วัดรอบเอว หรือถ่ายรูปตัวเองเป็นระยะ เพื่อเป็นกำลังใจและติดตามความก้าวหน้าของตัวเอง

โรคอ้วนไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องใกล้ตัวที่เราทุกคนต้องให้ความสำคัญ การเริ่มต้นดูแลสุขภาพตั้งแต่วันนี้ ไม่ใช่แค่เพื่อรูปร่างที่ดูดีขึ้น แต่เพื่อชีวิตที่ยืนยาวและมีคุณภาพที่ดีขึ้นในระยะยาว