• TH/EN
  • 099-1890189
  • MRT สุทธิสาร ทางออก 4
  • จันทร์-เสาร์: 10.00 - 20.00 น.
  • TH/EN
  • 099-1890189
  • MRT สุทธิสาร ทางออก 4
  • จันทร์-เสาร์: 10.00 - 20.00 น.

ค่าBMI หรือ ดัชนีมวลกาย คืออะไร? คำนวณอย่างไร?

การรู้ค่าBMI หรือ ดัชนีมวลกาย ของตนเองเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการดูแลสุขภาพ เพราะช่วยให้เราประเมินได้ว่าควรควบคุมน้ำหนักหรือปรับพฤติกรรมอย่างไร แม้ BMI จะไม่สามารถบอกสัดส่วนไขมันหรือกล้ามเนื้อได้ทั้งหมด แต่ก็เป็นเครื่องมือที่ใช้ได้ง่ายและมีประโยชน์มากในการติดตามสุขภาพในระยะยาว


ค่าBMI หรือ ดัชนีมวลกาย คืออะไร?

BMI (Body Mass Index) หรือดัชนีมวลกาย คือค่าที่ใช้วัดความสัมพันธ์ระหว่างน้ำหนักและส่วนสูง เพื่อดูว่าร่างกายมีภาวะผอม ปกติ น้ำหนักเกิน หรืออ้วน ค่าBMI เป็นตัวชี้วัดเบื้องต้นที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย เนื่องจากสามารถบอกแนวโน้มความเสี่ยงต่อโรคต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับน้ำหนัก เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน และความดันโลหิตสูง

วิธีคำนวณ BMI ดัชนีมวลกาย

สูตรการคำนวณค่าดัชนีมวลกายคือ:

สูตรการคำนวณค่า ดัชนีมวลกาย

ตัวอย่างการคำนวณ BMI

  • น้ำหนัก = 60 กิโลกรัม
  • ส่วนสูง = 1.60 เมตร

ผลลัพธ์คือ BMI = 23.4 อยู่ในเกณฑ์ “น้ำหนักเกิน”

BMI หรือ ดัชนีมวลกาย ตารางเกณฑ์มาตรฐานดังนี้

ค่า BMI (กก./ม²)ภาวะน้ำหนัก
< 18.5น้ำหนักน้อย (ผอม)
18.5 – 22.9น้ำหนักปกติ
23 – 24.9น้ำหนักเกิน
25 – 29.9อ้วนระดับ 1
≥ 30อ้วนระดับ 2

ค่า BMI เท่าไหร่ถึงเรียกว่าอ้วน? วัดตามเกณฑ์คนไทยและเอเชีย

  • ค่า BMI 25 – 29.9 = อ้วนระดับ 1 มีความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรัง
  • ค่า BMI ≥ 30 = อ้วนระดับ 2 จัดเป็นอ้วนมากและเสี่ยงสูงต่อโรคหัวใจ หลอดเลือด และเบาหวาน

ดัชนีมวลกาย แต่ละช่วงเกณฑ์หมายถึงอะไร

ผอมเกินไป (ค่า BMI น้อยกว่า 18.5)

น้ำหนักน้อยกว่าปกติก็ไม่ค่อยดี หากคุณสูงมากแต่น้ำหนักน้อยเกินไป อาจเสี่ยงต่อการได้รับสารอาหารไม่เพียงพอหรือได้รับพลังงานไม่เพียงพอ ส่งผลให้ร่างกายอ่อนเพลียง่าย การรับประทานอาหารให้เพียงพอ และการออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อสามารถช่วยเพิ่มค่าBMI ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติได้

น้ำหนักปกติ (ค่า BMI 18.6 – 22.9)

น้ำหนักที่เหมาะสมสำหรับคนไทยคือค่าBMI ระหว่าง 18.5-22.9 จัดอยู่ในเกณฑ์ปกติ ห่างไกลโรคที่เกิดจากความอ้วน และมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆน้อยที่สุด ควรพยายามรักษาระดับค่า BMI ให้อยู่ในระดับนี้ให้นานที่สุด

น้ำหนักเกิน (ค่า BMI 23.0 – 24.9)

พยายามอีกนิดเพื่อลดน้ำหนักให้เข้าสู่ค่ามาตรฐาน เพราะค่า BMI ในช่วงนี้ยังถือว่าเป็นกลุ่มผู้ที่มีภาวะน้ำหนักเกิน แม้จะไม่ถือว่าอ้วน เริ่มมีความเสี่ยงต่อโรคที่เกี่ยวกับความอ้วน และหากประวัติคนในครอบครัวเคยเป็นโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง ก็ถือว่ายังมีความเสี่ยงมากกว่าคนปกติ

โรคอ้วนระดับ 1 (ค่า BMI 25.0 – 29.9)

คุณอ้วนในระดับหนึ่ง ถึงแม้จะไม่ถึงเกณฑ์ที่ถือว่าอ้วนมากๆ แต่ก็ยังมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคที่มากับความอ้วนได้เช่นกัน ทั้งโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และไขมันในเลือดสูง

โรคอ้วนระดับ 2 (ค่า BMI 30.0 ขึ้นไป)

คุณมีค่าBMIในระดับนี้แล้วค่อนข้างอันตราย เพราะเข้าเกณฑ์อ้วนมาก เสี่ยงต่อการเกิดโรคร้ายแรงที่แฝงมากับความอ้วน หากค่า BMI อยู่ในระดับนี้ จะต้องระวังการรับประทานไขมัน และควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และหากเลขยิ่งสูงกว่า 40.0 ยิ่งแสดงถึงความอ้วนที่มากขึ้น


คำแนะนำตามค่าBMI หรือ ดัชนีมวลกาย ของแต่ละเกณฑ์

1. ผอม (BMI < 18.5)

ภาวะ: น้ำหนักน้อยกว่ามาตรฐาน ร่างกายอาจขาดสารอาหาร ภูมิคุ้มกันต่ำ

คำแนะนำ:

  • เพิ่มปริมาณพลังงานและสารอาหารที่มีประโยชน์ เช่น โปรตีนจากปลา ไข่ เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน
  • กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ และเพิ่มมื้อย่อยระหว่างวัน
  • ออกกำลังกายเพิ่มเติมเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อเพื่อเพิ่มมวลกาย

2. ปกติ (BMI 18.5 – 22.9)

ภาวะ: น้ำหนักเหมาะสม สุขภาพอยู่ในเกณฑ์ดี

คำแนะนำ:

  • รักษาสมดุลการกินและการออกกำลังกาย
  • ควรออกกำลังกายสม่ำเสมออย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์
  • ตรวจสุขภาพประจำปีเพื่อดูปัจจัยอื่นๆร่วมด้วย เช่น ความดัน ไขมันในเลือด

3. น้ำหนักเกิน (BMI 23 – 24.9)

ภาวะ: เริ่มมีความเสี่ยงโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง(NCDs) เช่น เบาหวาน ความดัน

คำแนะนำ:

  • ลดการกินอาหารหวาน มัน เค็ม
  • เพิ่มผัก ผลไม้ และอาหารที่มีกากใย
  • เริ่มออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอร่วมกับเวทเทรนนิ่งเพื่อเผาผลาญไขมัน

4. อ้วนระดับ 1 (BMI 25 – 29.9)

ภาวะ: ความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน ความดัน หลอดเลือดเริ่มสูงขึ้น

คำแนะนำ:

  • ควบคุมปริมาณอาหารและพลังงานให้น้อยกว่าที่ใช้ในแต่ละวัน
  • เน้นการออกกำลังกายเผาผลาญพลังงาน (เดินเร็ว วิ่ง ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน)
  • อาจขอคำปรึกษานักโภชนาการหรือแพทย์เพื่อวางแผนลดน้ำหนัก

5. อ้วนระดับ 2 (BMI ≥ 30)

ภาวะ: จัดว่าเป็น “อ้วนมาก” มีความเสี่ยงสูงต่อโรคหัวใจ หลอดเลือด เบาหวานชนิดที่ 2

คำแนะนำ:

  • ควรปรับพฤติกรรมการกินอย่างจริงจัง ลดอาหารที่ให้พลังงานสูง
  • ออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญ
  • ควรพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพและอาจพิจารณาวิธีการรักษาอื่นๆร่วม เช่น โปรแกรมลดน้ำหนักเฉพาะบุคคล หรือการใช้การแพทย์ช่วย(ปากกาลดน้ำหนัก,coolSculpting)


วิธีเพิ่มหรือลดค่าBMI ให้สมดุล

1. กรณี BMI ต่ำเกินไป (ผอม)

เป้าหมาย: เพิ่มน้ำหนักให้ถึงเกณฑ์ปกติ

แนวทาง:

  • กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ และเพิ่มพลังงานที่มีคุณภาพ เช่น ข้าวกล้อง มันฝรั่ง ถั่ว อะโวคาโด
  • เน้นโปรตีนจากเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ไข่ ปลา และนม เพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อ
  • เพิ่มมื้ออาหารย่อยระหว่างวัน เช่น นมถั่วเหลือง ขนมปังโฮลวีต
  • ออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่งเพื่อเพิ่มมวลกล้ามเนื้อควบคู่

2. กรณี BMI สูงเกินไป (น้ำหนักเกิน–อ้วน)

เป้าหมาย: ลดน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์เหมาะสม

แนวทาง:

  • ลดพลังงานส่วนเกิน โดยเน้นอาหารที่มีประโยชน์ ไม่หวาน มัน เค็ม
  • กินผักและผลไม้ให้เพียงพอ เพื่อช่วยให้อิ่มนานและควบคุมแคลอรี่
  • ออกกำลังกายเป็นประจำอย่างน้อย 150 นาที/สัปดาห์ เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน
  • เสริมด้วยเวทเทรนนิ่งเพื่อเพิ่มการเผาผลาญพลังงาน
  • ปรับพฤติกรรม เช่น ไม่กินดึก ลดน้ำหวาน ลดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

3. กรณี BMI อยู่ในเกณฑ์ปกติ

เป้าหมาย: รักษาน้ำหนักให้คงที่

แนวทาง:

  • กินอาหารที่สมดุลและพอดีกับความต้องการของร่างกาย
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอเพื่อคงความแข็งแรง
  • ตรวจสุขภาพประจำปีและวัดรอบเอวควบคู่ เพราะรอบเอวก็เป็นอีกตัวชี้วัดความเสี่ยงที่สำคัญ


ข้อดีของการรู้ค่าBMI ของตนเอง

การรู้ค่า BMI มีประโยชน์หลายด้าน เช่น

  • ช่วยประเมินสุขภาพเบื้องต้นด้วยตนเอง
  • รู้ภาวะเสี่ยงต่อโรคอ้วนและโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง(NCDs)
  • เป็นแนวทางในการควบคุมอาหารและการออกกำลังกาย
  • ใช้เป็นข้อมูลประกอบในการพบแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ

สรุป

ค่าBMI หรือดัชนีมวลกาย เป็นเครื่องมือที่ช่วยตรวจสอบภาวะน้ำหนักของร่างกายได้ง่ายและรวดเร็ว แม้จะไม่สามารถแสดงสัดส่วนของกล้ามเนื้อหรือไขมันได้ทั้งหมด แต่การรู้ค่าBMI จะช่วยให้คุณเข้าใจสุขภาพของตนเองมากขึ้น และปรับพฤติกรรมการกินและการออกกำลังกาย เพื่อป้องกันโรคที่เกี่ยวข้องกับความอ้วนได้อย่างมีประสิทธิภาพ