ปัญหา ถุงใต้ตา ถือเป็นหนึ่งในเรื่องที่ส่งผลต่อความมั่นใจของหลายๆ คน โดยเฉพาะเมื่อถุงใต้ตาดูพอง บวม หรือหย่อนคล้อย ซึ่งอาจทำให้ใบหน้าดูเหนื่อยล้าและมีอายุก่อนวัย การผ่าตัดถุงใต้ตาจึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่ได้รับความนิยมมากขึ้นในปัจจุบัน โดยเป็นวิธีที่ช่วยปรับรูปทรงรอบดวงตาให้ดูกระชับ สดใส และอ่อนเยาว์ยิ่งขึ้น ทั้งนี้ การตัดสินใจเข้ารับการผ่าตัดควรอยู่ภายใต้การพิจารณาอย่างรอบคอบ ร่วมกับคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อผลลัพธ์ที่ปลอดภัยและเหมาะสมกับแต่ละบุคคล
ถุงใต้ตา คืออะไร
ถุงใต้ตาคือบริเวณใต้ตาที่มีลักษณะบวม พอง หรือหย่อนคล้อย ซึ่งเกิดจากการสะสมของไขมันหรือของเหลวใต้ผิวหนัง บางกรณีอาจเกิดจากผิวหนังและกล้ามเนื้อที่อ่อนตัวลงตามอายุ ทำให้ไขมันบริเวณรอบดวงตาดันออกมาและก่อให้เกิดลักษณะเป็น “ถุง” ถุงใต้ตาไม่เพียงส่งผลต่อรูปลักษณ์ ทำให้ใบหน้าดูเหนื่อยล้าหรือมีอายุมากขึ้น
สาเหตุของการเกิด ถุงใต้ตา
สาเหตุของถุงใต้ตาสามารถเกิดได้จากหลายปัจจัย ทั้งจากภายในร่างกายและปัจจัยภายนอก ดังนี้ :
- อายุที่เพิ่มขึ้น
- พันธุกรรม
- การพักผ่อนไม่เพียงพอ
- ความเครียด
- การกินอาหารเค็ม
- การแพ้หรืออักเสบเรื้อรัง
วิธีการรักษาปัญหา ถุงใต้ตา
การรักษาปัญหาถุงใต้ตามีได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับสาเหตุ ความรุนแรง และความต้องการของแต่ละคน โดยสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ดังนี้ :
วิธีที่ไม่ต้องผ่าตัด (Non-surgical)
เหมาะสำหรับ : ถุงใต้ตาที่ไม่รุนแรงหรือเกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต
- ปรับพฤติกรรม เช่น นอนหลับให้เพียงพอ ลดอาหารเค็ม ดื่มน้ำมากขึ้น งดดื่มแอลกอฮอล์
- ประคบเย็น ช่วยลดการบวมเฉียบพลัน
- ใช้ครีมหรือเซรั่มใต้ตา เช่น ที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน เรตินอล หรือเปปไทด์ เพื่อกระชับผิว
- เลเซอร์หรือคลื่นวิทยุ (RF) ช่วยกระตุ้นคอลลาเจนและกระชับผิว
- ฉีดฟิลเลอร์ ช่วยเติมเต็มร่องลึกใต้ตาให้ดูเรียบเนียนขึ้น แต่ไม่ลดถุงไขมัน
- Thermage หรือ HIFU ช่วยยกกระชับผิวบริเวณใต้ตา
วิธีผ่าตัด (Surgical)
เหมาะสำหรับ : ถุงใต้ตาขนาดใหญ่ หรือเกิดจากไขมันส่วนเกินและผิวหนังหย่อนคล้อย
- การผ่าตัดถุงใต้ตา (Lower Blepharoplasty)
- แบบเปิดแผลด้านนอก : แพทย์จะผ่าตัดผ่านแนวขนตาล่าง เพื่อนำไขมันส่วนเกินและผิวหนังที่หย่อนคล้อยออก
- แบบเปิดด้านในเปลือกตา (Transconjunctival) : ไม่มีแผลภายนอก เหมาะกับผู้ที่มีไขมันส่วนเกินแต่ผิวหนังยังไม่หย่อนคล้อย
การผ่าตัดถุงใต้ตามีกี่แบบ
การผ่าตัดถุงใต้ตา (Lower Blepharoplasty) มีหลักๆ 2 แบบ ซึ่งแตกต่างกันตามวิธีการเข้าถึงถุงไขมันและลักษณะของปัญหาผิวหนังบริเวณใต้ตา ดังนี้ :
1. ผ่าตัดแบบแผลด้านใน (Transconjunctival Approach)
ลักษณะการผ่าตัด : ผ่าตัดจากด้านในเปลือกตาล่าง ไม่มีแผลให้เห็นจากภายนอก
เหมาะสำหรับ :
- ผู้ที่มีไขมันสะสมใต้ตา แต่ ไม่มีผิวหนังหย่อนคล้อยมาก
- คนอายุน้อย หรือผิวใต้ตายังเต่งตึง
ข้อดี
- ไม่มีรอยแผลภายนอก
- ฟื้นตัวเร็ว
- ลดความเสี่ยงรอยแผลเป็น
2. ผ่าตัดแบบแผลด้านนอก (Subciliary / External Approach)
ลักษณะการผ่าตัด : เปิดแผลตามแนวขอบขนตาล่าง แล้วตัดไขมันส่วนเกินออก พร้อมเก็บผิวหนังที่หย่อนคล้อย
เหมาะสำหรับ :
- ผู้ที่มีทั้งไขมันส่วนเกิน และ ผิวหนังใต้ตาหย่อนคล้อย
- คนอายุมาก หรือมีปัญหาถุงใต้ตาร่วมกับรอยย่นใต้ตา
ข้อดี :
- จัดการได้ทั้งไขมันและผิวหนังส่วนเกิน
- แผลหายสนิทมักซ่อนแนบไปกับขอบตา ลักษณะไม่ชัดเจนเมื่อหายดี
คนมีอายุเหมาะกับการผ่าตัด ถุงใต้ตา แบบใด
คนที่มีอายุ (เช่น อายุ 40 ปีขึ้นไป) มักเหมาะกับการผ่าตัดถุงใต้ตาแบบแผลด้านนอก (Subciliary / External Approach) มากกว่า เนื่องจากโดยทั่วไปจะมี ทั้งไขมันสะสมใต้ตา และ ผิวหนังที่หย่อนคล้อย ซึ่งการผ่าตัดแบบแผลด้านนอกสามารถจัดการได้ทั้งสองปัญหาในคราวเดียว
เหตุผลที่เหมาะกับแบบแผลด้านนอก :
- สามารถตัดผิวหนังที่หย่อนคล้อยร่วมกับไขมันส่วนเกินได้
- ช่วยยกกระชับผิวบริเวณใต้ตา ทำให้ใบหน้าดูอ่อนวัยขึ้น
- เหมาะกับผู้ที่เริ่มมีริ้วรอยใต้ตาและความหย่อนคล้อยจากอายุ
คนอายุไม่เยอะมีถุงใต้ตา เหมาะกับการผ่าตัด ถุงใต้ตา แบบใด
สำหรับคนที่ อายุยังไม่มาก (เช่น อายุไม่เกิน 35–40 ปี) แต่มีปัญหา ถุงใต้ตาชัดเจนโดยไม่มีผิวหนังหย่อนคล้อยมาก มักจะ เหมาะกับการผ่าตัดแบบแผลด้านใน (Transconjunctival Approach) มากกว่า
เหตุผลที่เหมาะกับแบบแผลด้านใน :
- ไม่มีแผลภายนอก : เพราะเปิดแผลจากด้านในเปลือกตา
- ผิวหนังยังเต่งตึง : จึงไม่จำเป็นต้องตัดผิวหนังออก
- ฟื้นตัวเร็ว : อาการบวมหรือช้ำน้อยกว่าการผ่าตัดแบบแผลนอก
- ลดความเสี่ยงรอยแผลเป็น : เพราะไม่มีรอยบนผิวหนังภายนอก
การเตรียมตัวก่อนผ่าตัดถุงใต้ตา
1. ปรึกษาแพทย์โดยละเอียด
- แจ้ง ประวัติสุขภาพ โรคประจำตัว การแพ้ยา และการใช้ยาหรืออาหารเสริมต่างๆ
- แพทย์จะประเมิน ลักษณะถุงใต้ตา และแนะนำเทคนิคการผ่าตัดที่เหมาะสม
- อาจมีการถ่ายภาพก่อนผ่าตัดเพื่อใช้เปรียบเทียบผลลัพธ์
2. ตรวจสุขภาพก่อนผ่าตัด
- อาจมีการตรวจเลือด วัดความดัน หรือคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ขึ้นกับคลินิก/รพ.)
- หยุดใช้ยาที่ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน วิตามินอี น้ำมันปลา อย่างน้อย 7–14 วัน
3. งดสิ่งกระตุ้นการบวมช้ำ
- งดแอลกอฮอล์ และ งดสูบบุหรี่ อย่างน้อย 1–2 สัปดาห์ก่อนผ่าตัด
- เพราะสิ่งเหล่านี้จะส่งผลต่อการสมานแผลและการฟื้นตัว
4. เตรียมตัวในวันผ่าตัด
- งดน้ำและอาหาร อย่างน้อย 6–8 ชั่วโมง ถ้าแพทย์ใช้ยาสลบหรือยานอนหลับ
- สวมเสื้อผ้าที่ใส่สบาย และไม่มีเครื่องสำอาง คอนแทคเลนส์ หรือเครื่องประดับใดๆ
การดูแลตัวเองหลังทำผ่าตัดถุงใต้ตา
การดูแลตัวเองหลังผ่าตัดถุงใต้ตาเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะจะช่วยให้แผลหายไว ลดอาการบวมช้ำ และได้ผลลัพธ์ที่สวยงามเป็นธรรมชาติ โดยมีแนวทางการดูแลดังนี้ :
1. ประคบเย็นใน 48 ชั่วโมงแรก
- ใช้เจลหรือผ้าเย็นประคบบริเวณรอบดวงตาเพื่อลดบวมและช้ำ
- ควรประคบ ทุก 1–2 ชั่วโมง ครั้งละประมาณ 15–20 นาที
2. นอนยกหัวสูง
- ใช้หมอนหนุน 2 ใบ นอนศีรษะสูง เพื่อช่วยลดอาการบวม
- หลีกเลี่ยงการนอนตะแคงหรือนอนคว่ำในช่วง 1–2 สัปดาห์แรก
3. ทำความสะอาดแผลอย่างระมัดระวัง
- ใช้สำลีชุบน้ำเกลือเช็ดเบาๆบริเวณแผลตามคำแนะนำของแพทย์
- หลีกเลี่ยงการถูหรือกดแรงๆบริเวณแผล
4. งดยาและพฤติกรรมที่กระตุ้นการบวม
- งดแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ และอาหารเค็ม
- งดแต่งหน้า บริเวณรอบดวงตา จนกว่าแผลจะหายสนิท
- หลีกเลี่ยงการใช้สายตามาก เช่น จ้องหน้าจอนานๆ
5. ทานยาและมาตามนัด
- รับประทานยาแก้อักเสบและยาแก้ปวดตามแพทย์สั่ง
- กลับไปตัดไหมและตรวจตามนัดอย่างเคร่งครัด
6. หลีกเลี่ยงกิจกรรมหนัก
- ไม่ควรออกกำลังกายหนัก ยกของหนัก หรือว่ายน้ำในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก
7. อาการที่ควรระวัง
หากมีอาการต่อไปนี้ ควรรีบพบแพทย์ทันที :
- ปวดแผลมากผิดปกติ
- มีเลือดไหลไม่หยุด
สรุป
การผ่าตัดถุงใต้ตาเป็นการศัลยกรรมเพื่อนำไขมันส่วนเกินและผิวหนังที่หย่อนคล้อยใต้ตาออก ช่วยให้ดวงตาดูสดใส หน้าอ่อนวัย และเพิ่มความมั่นใจ โดยเหมาะกับผู้ที่มีถุงใต้ตาชัดจากอายุหรือกรรมพันธุ์ มีทั้งแบบแผลด้านใน(ไม่มีแผลภายนอก) และแผลด้านนอก(ตัดผิวหนังร่วมด้วย) ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและอายุ หลังผ่าตัดอาจมีอาการบวม ช้ำเล็กน้อย และควรดูแลตัวเองตามคำแนะนำแพทย์อย่างเคร่งครัดเพื่อผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัย