ต่อมน้ำลาย คืออะไร?
ต่อมน้ำลาย (Salivary glands) เป็นอวัยวะสำคัญที่หลายคนมักมองข้าม หน้าที่หลักคือผลิตน้ำลายเพื่อช่วยในการย่อยอาหาร หล่อลื่นช่องปาก ช่วยในการพูด,การกลืน และปกป้องเยื่อบุช่องปากจากการติดเชื้อและฟันผุ
น้ำลายประกอบไปด้วยน้ำ เอนไซม์ (enzyme) และสารเมือก (mucins) ที่ช่วยให้การกลืนและการพูดเป็นไปอย่างราบรื่น อีกทั้งยังมีคุณสมบัติเป็น buffer ปรับสมดุลกรด–ด่างในช่องปาก ทำให้แบคทีเรียก่อโรคเจริญเติบโตได้ยากขึ้น

ต่อมน้ำลายหลักของมนุษย์ ( Major Salivary Glands)
ร่างกายมีต่อมน้ำลายหลัก 3 คู่ และต่อมเล็ก ๆ อีกจำนวนมาก ได้แก่
1. Parotid gland (ต่อมน้ำลายหน้าหู)
- ขนาดใหญ่ที่สุด อยู่ด้านหน้าหู
- ผลิตน้ำลายใส (serous) มีเอนไซม์อะไมเลส ช่วยย่อยแป้ง โดยไม่ผลิตน้ำลายเหนียว (mucous)
- หลั่งน้ำลายออกมามากเมื่อถูกกระตุ้น เช่น เวลากินอาหารหรือเคี้ยว
- ต่อมน้ำลายหน้าหูนี้สามารถผลิตน้ำลายได้ประมาณ 25% น้ำลายทั้งหมด
2. Submandibular gland (ต่อมน้ำลายใต้คาง)
- อยู่บริเวณใต้ขากรรไกรล่าง
- มีขนาดรองลงมา
- ผลิตน้ำลายผสมทั้งใส (serous) และเหนียว (mucous) แต่เด่นที่มี mucins สูง จึงช่วยหล่อลื่นและป้องกันการแห้งในช่องปาก
- เป็นแหล่งผลิตน้ำลายหลักขณะพัก (resting saliva) และเป็นแหล่งผลิตน้ำลายส่วนใหญ่ซึ่งมากถึงประมาณ 75% ของน้ำลายในช่องปาก
3. Sublingual gland (ต่อมน้ำลายใต้ลิ้น)
- มีขนาดเล็กที่สุดในกลุ่มใหญ่ (Major Salivary Glands)
- ผลิตน้ำลายที่มี mucins สูง แต่ปริมาณรวมน้อย

ตารางเปรียบเทียบ Parotid Gland VS Submandibular Gland
คุณสมบัติ | Parotid Gland | Submandibular Gland |
ตำแหน่ง | ด้านหน้าหู ข้างแก้ม | ใต้ขากรรไกรล่าง |
ลักษณะน้ำลาย | ใส (serous) | ใส + เหนียว (มี mucins สูง) |
หน้าที่หลัก | ย่อยแป้งเมื่อเคี้ยวอาหาร | หล่อลื่นช่องปาก ป้องกันปากแห้ง |
สภาวะเด่น | ทำงานมากเมื่อถูกกระตุ้น | ทำงานมากในช่วงพัก (resting saliva) |
สัดส่วนการผลิต | ~ 25% ของน้ำลายทั้งหมด | ~ 75% ของน้ำลายทั้งหมด |
จากตารางจะเห็นว่า ต่อมน้ำลายใต้คาง (Submandibular gland) มีความสำคัญต่อคุณภาพชีวิตประจำวันมาก โดยเฉพาะการหล่อลื่นช่องปาก การกลืน และการพูด โดยต่อมน้ำลายหน้าหูไม่สามารถทดแทนการทำงานของต่อมน้ำลายใต้คางได้
เทรนด์การ “ตัดต่อมน้ำลาย” เพื่อความสวยงาม
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีกระแสในต่างประเทศและเริ่มแพร่เข้ามาในไทย เกี่ยวกับการ ตัดต่อมน้ำลายใต้คาง เพื่อลดความนูน ทำให้กรอบหน้าดูชัดเจนมากขึ้น
แม้บางคลินิกอ้างว่า “ตัดออกไปก็ไม่เป็นไร เพราะยังเหลือต่อมน้ำลายหน้าหูและต่อมน้ำลายใต้ลิ้น” แต่ในความเป็นจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น เนื่องจาก น้ำลายแต่ละชนิดมีหน้าที่ต่างกัน และต่อมน้ำลายใต้คาง คือ ผู้ผลิตหลักของน้ำลายเหนียว ซึ่งมีประโยชน์ช่วยหล่อลื่นในช่องปากซึ่งมีผลเกี่ยวกับการกลืน การพูด และป้องกันฟันผุ
ผลเสียระยะยาวจากการตัดต่อมน้ำลายใต้คาง
การ ตัดต่อมน้ำลาย โดยเฉพาะ การตัดต่อมน้ำลายใต้คาง (submandibular gland) ไม่ใช่เพียงการลดขนาดก้อนเนื้อ แต่ยังเสี่ยงทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพช่องปากและคุณภาพชีวิตในอนาคต ได้แก่
- ปากแห้ง (Xerostomia) : งานวิจัยยืนยันว่าแม้ตัดเพียงข้างเดียว อัตราการผลิตน้ำลายขณะพักลดลงครึ่งหนึ่ง และผู้ป่วยมีอาการปากแห้งมากขึ้น
- กลืนลำบากและพูดไม่ชัด : น้ำลายเหนียวจากต่อมใต้คางมี mucins สูง ทำให้หล่อลื่นกลืนอาหารได้ง่ายขึ้น หากลดลงอาจทำให้กลืนฝืดหรือติดคอได้ง่าย
- ฟันผุและโรคเหงือก : น้ำลายช่วยป้องกันการเติบโตของเชื้อก่อโรค การผลิตน้อยลงทำให้เสี่ยงฟันผุ เหงือกอักเสบ
- ปัญหาเมื่ออายุมากขึ้น : โดยธรรมชาติแล้วอายุที่เพิ่มขึ้นและการใช้ยาหลายชนิดก็ทำให้การผลิตน้ำลายลดลงอยู่แล้ว การตัดต่อมน้ำลายใต้คางยิ่งซ้ำเติมปัญหาเหล่านี้ซึ่งจะส่งผลเสียต่อสุขภาพภายในช่องปากในระยะยาว

มีทางเลือกอื่นที่ปลอดภัยกว่า
การทำให้กรอบหน้าชัดเจน ไม่จำเป็นต้องตัดต่อมน้ำลาย แต่ยังมีหัตถการและเทคนิคอื่นที่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญนิยมใช้ เช่น
- การดูดไขมันใต้คาง เหนียงและกรอบหน้า
- การเย็บยกกระชับกล้ามเนื้อคอ (Platysmaplasty Corset Neck Lift)
- การปรับโครงสร้างคางหรือกราม (Chin/Jaw augmentation)
- การใช้เครื่องเลเซอร์ เช่น HIFU หรือ RF เพื่อลดไขมันและกระชับผิวหนัง
วิธีเหล่านี้ไม่กระทบต่อหน้าที่สำคัญของต่อมน้ำลาย และปลอดภัยในระยะยาวมากกว่า

สรุป
“ตัดต่อมน้ำลายใต้คาง” อาจดูเป็นทางลัดให้กรอบหน้าชัด แต่ความจริงคือ เป็นการแลกด้วยสุขภาพช่องปากในระยะยาว ที่ไม่คุ้มค่า การดูแลหรือปรับรูปหน้าควรเลือกวิธีที่ปลอดภัยและไม่กระทบหน้าที่สำคัญของร่างกาย
ก่อนตัดสินใจทำศัลยกรรม ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทาง เช่น แพทย์หูคอจมูก ENT หรือ Facial Plastic Surgeon ที่เข้าใจกายวิภาคและผลระยะยาวอย่างลึกซึ้ง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ทั้งสวยงามและปลอดภัย
References
- Cunning DM, Lipke N, Wax MK. Significance of unilateral submandibular gland excision on salivary flow in noncancer patients. Laryngoscope. 1998;108(6):812–815. PubMed
- Navazesh M, Kumar SK. Measuring salivary flow: challenges and opportunities. J Am Dent Assoc. 2008;139 Suppl:35S–40S. PubMed
- Gensheimer MF, et al. Submandibular gland sparing and quality of life in radiation therapy. Radiat Oncol. 2016;11:130. PubMed
- Mendelson BC, Tutino R. Submandibular gland reduction in aesthetic surgery: long-term outcomes. Plast Reconstr Surg. 2015;136(3):463–473. PubMed