ในยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยีด้านความงามและการแพทย์สมัยใหม่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว การดูแลตัวเองก็เป็นสิ่งที่ในปัจจุบันคนหันมาใส่ใจกันมากยิ่งขึ้น การปรับรูปหน้า ดูแลรูปร่างจึงเป็นที่ให้ความสนใจอย่างมาก ท่านที่ต้องการฟื้นฟูความอ่อนเยาว์และลดปัญหาผิวหย่อนคล้อยมีตัวเลือกมากมายในการรักษาที่ไม่จำเป็นต้องผ่าตัด ซึ่งวันนี้เราจะมาทำความรู้จัก 2 เทคโนโลยีที่ได้รับความนิยมและกล่าวถึงกันอย่างแพร่หลาย ได้แก่ Body Tite และ J-Plasma โดยทั้งสองมีจุดมุ่งหมายในการลดไขมันส่วนเกินและกระชับผิวให้ดูอ่อนเยาว์ ลดความหย่อนคล้อยของผิว แต่มีหลักการทำงานและผลลัพธ์ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน
หลักการทำงาน Bodytite & J Plasma
BodyTite เป็นการใช้หลักการ Radio Frequency-Assisted Lipolysis (RFAL) โดยการส่งพลังงานวิทยุความถี่สูงเข้าสู่ชั้นไขมัน ทำให้ไขมันถูกละลายและดูดออกไปง่ายมากขึ้น พร้อมกับการกระตุ้นผิวหนังให้เกิดการหดตัว ผลลัพธ์ที่ได้คือการลดไขมันและการยกกระชับผิวในเวลาเดียวกัน เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาไขมันสะสมและผิวที่เริ่มหย่อนคล้อยจากการลดน้ำหนักหรือมีไขมันเยอะ
ในอีกด้านหนึ่ง J-Plasma หรือที่รู้จักในชื่อ Renuvion เป็นเทคโนโลยีการยกกระชับผิวที่ผสาน พลังงานพลาสมาฮีเลียม (Helium Plasma) และคลื่นความถี่วิทยุ (RF) เพื่อช่วยลดความหย่อนคล้อยของผิว กระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนในชั้นใต้ผิว ส่งผลให้ผิวมีความกระชับและเรียบเนียนโดยไม่ต้องเน้นการดูดไขมันเท่า Body Tite จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการจัดการปัญหาความหย่อนคล้อยของผิว
ผู้ที่เหมาะกับการทำ Bodytite ได้แก่ :
- ไขมันสะสมเฉพาะจุด : เช่น บริเวณหน้าท้อง สะโพก ต้นขา ต้นแขน และคอ ซึ่งการออกกำลังกายหรือควบคุมอาหารอาจไม่สามารถลดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ผิวหนังหย่อนคล้อย : เช่น คอเหี่ยว แขนย้วย หน้าท้องย่น ซึ่งต้องการกระชับผิวโดยไม่ต้องผ่าตัดหรือฉีดสารเติมเต็ม
- ฟื้นฟูความอ่อนเยาว์ของผิว : Body Tite ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว ทำให้ผิวเรียบเนียนและเต่งตึงขึ้น
- การลดริ้วรอยอย่างรวดเร็ว : เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็วในการลดเลือนริ้วรอยและกระชับผิว
- มีเวลาในการพักฟื้นน้อย : เนื่องจาก Body Tite เป็นหัตถการที่มีแผลขนาดเล็ก เลือดออกน้อย เจ็บน้อย บวมช้ำน้อย และไม่จำเป็นต้องพักรักษาตัวนาน
- งบประมาณจำกัด: Body Tite เป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพและคุ้มค่าเมื่อเทียบกับการผ่าตัดใหญ่ ผลลัพธ์หลังทำชัดเจน
ผู้ที่เหมาะกับการทำ J-Plasma ได้แก่ :
- ไขมันสะสมและผิวหย่อนคล้อย : การทำ J-Plasma สามารถทำร่วมด้วยกับดูดไขมันเพื่อช่วยลดไขมันส่วนเกิน และยกกระชับผิวในคราวเดียวกัน
- การกระชับผิวหลังการดูดไขมัน : หลังการดูดไขมัน ผิวหนังอาจหย่อนคล้อย แต่หากทำ J-Plasma ร่วมด้วยจะช่วยให้ผิวกระชับขึ้น
- คุณแม่หลังคลอดที่มีปัญหาหน้าท้องหย่อนคล้อย : J-Plasma สามารถช่วยกระชับผิวบริเวณหน้าท้องหลังการคลอดบุตรได้
- การยกกระชับผิวโดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่ : J-Plasma เป็นทางเลือกที่ไม่ต้องผ่าตัดใหญ่และฟื้นตัวได้เร็ว
- มีเวลาในการพักฟื้นน้อย : เนื่องจาก J-Plasma เป็นหัตถการที่มีแผลขนาดเล็ก ฟื้นตัวได้ไว
การพักฟื้น Bodytite & J Plasma
Body Tite : ไม่ต้องพักฟื้น อาจมีอาการบวมและช้ำประมาณ 1 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับสภาพผิวแต่ละบุคคล
J-Plasma : แผลเล็ก ใช้เวลาพักฟื้นไม่นาน หากทำ J-Plasma บริเวณลำตัว (หน้าท้อง ต้นแขน ต้นขา หรือสะโพก) ควรใส่ชุดกระชับอย่างน้อย 4-6 สัปดาห์ เพื่อช่วยให้ผิวหดตัวและเข้าที่เร็วขึ้น
สรุป
• ผู้ที่มีไขมันเยอะ ผิวหนังไม่กระชับอยากทำดูดไขมันพร้อมกระชับผิว → เลือก Body Tite
• ผู้ที่ผิวหย่อยคล้อยมาก เช่น คุณแม่หลังคลอด,ท่านที่ลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว เน้นกระชับผิว → เลือก J-Plasma
จากที่กล่าวมาทั้ง BodyTite และ J-Plasma ต่างก็เป็นทางเลือก ในการเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมควรพิจารณาจากสภาพผิว เป้าหมายการรักษา และเข้ารับคำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ปลอดภัย อย่างไรก็ตามการจะเลือกทำศัลยกรรมรักษาอะไรสักอย่างเราควรจะศึกษาหาข้อมูลเพื่อช่วยในการประกอบการตัดสินใจ เพื่อผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัยกับเรามากที่สุด