“ถุงใต้ตา” และ “ใต้ตาคล้ำ” เป็นปัญหาที่ทำให้ใบหน้าดูเหนื่อยล้า หมองคล้ำ และแก่กว่าวัย แม้แต่งหน้าก็ยากจะปกปิด หลายคนอาจคิดว่าต้องพึ่งการผ่าตัดเท่านั้นจึงจะเห็นผล แต่ความจริงแล้ว ปัจจุบันมีวิธีแก้ไขถุงใต้ตาและรอยคล้ำที่สามารถทำได้ โดยไม่ต้องผ่าตัด ปลอดภัย เห็นผลจริง และใช้เวลาไม่นาน ไม่ว่าจะเป็น ฟิลเลอร์ใต้ตา, การฉีดมาเด้, เลเซอร์ใต้ตา, หรือ การฉีดไขมันใต้ตา
บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักทุกวิธีอย่างละเอียด พร้อมข้อดี–ข้อเสีย ผลลัพธ์ และความเหมาะสม
ของแต่ละเทคนิค เพื่อช่วยให้เลือกแนวทางที่เหมาะกับปัญหาใต้ตาของคุณมากที่สุด
ทำไมถึงมี “ถุงใต้ตา” และ “ใต้ตาคล้ำ” ?
ปัญหาถุงใต้ตาและรอยคล้ำใต้ตาเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น
- พันธุกรรมหรือโครงสร้างกระดูกเบ้าตา
- อายุที่เพิ่มขึ้น ทำให้ไขมันใต้ตาหย่อนคล้อย
- พักผ่อนน้อย หรือใช้สายตาหนักจากจอคอมพิวเตอร์ / มือถือ
- การสะสมของเม็ดสี (pigmentation)
- การสูญเสียคอลลาเจนและความยืดหยุ่นของผิว
ผลคือ ใบหน้าดูเหนื่อยล้า ไม่สดใส และแก่กว่าวัย แม้แต่งหน้าก็ปกปิดได้ยาก
ถุงใต้ตา และ ใต้ตาคล้ำ คืออะไร ?
- ถุงใต้ตา (Under Eye Bags) คือ การที่บริเวณใต้ตาเกิดการพองหรือยื่นออกมาของผิวและไขมันใต้ตา ทำให้เห็นเป็น “ถุง” ขึ้นมา ใบหน้าดูบวม เหนื่อยล้า หรือแก่กว่าวัย
- ใต้ตาคล้ำ (Dark Circles) คือ การมีสีคล้ำหรือรอยดำใต้ตา ทำให้ใบหน้าดูหมอง ไม่สดใส มักเห็นชัดเวลาพักผ่อนน้อยหรืออายุมากขึ้น
ทั้งสองปัญหานี้มักเกิดร่วมกัน แต่ก็สามารถเกิดแยกกันได้ ขึ้นอยู่กับสาเหตุของแต่ละคน

สาเหตุของ “ถุงใต้ตา” และ “ใต้ตาคล้ำ”
1.พันธุกรรม (Genetics)
- ถุงใต้ตาและใต้ตาคล้ำบางรูปแบบมีความเกี่ยวข้องกับกรรมพันธุ์
- หากพ่อแม่มีปัญหานี้ ลูกก็มีโอกาสเกิดได้สูง
2.อายุที่เพิ่มขึ้น (Aging)
- ผิวใต้ตาสูญเสียคอลลาเจนและความยืดหยุ่น
- ไขมันใต้ตาอาจหย่อนคล้อย เกิดเป็นถุงใต้ตา
3.การพักผ่อนน้อย (Lack of Sleep)
- นอนน้อยทำให้เส้นเลือดใต้ตาขยายตัว ส่งผลให้ใต้ตาคล้ำ
4.ความเครียดและไลฟ์สไตล์ (Stress & Lifestyle)
- การใช้สายตามาก เช่น จ้องคอมพิวเตอร์ มือถือ
- ดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ หรือบริโภคอาหารเค็ม
5.การสะสมของเม็ดสี (Pigmentation)
- การสร้างเม็ดสีมากผิดปกติในผิวใต้ตา ทำให้คล้ำ
- พบได้ในคนที่มีผิวคล้ำหรือแพ้ง่าย
6.อาการบวมน้ำ (Fluid Retention)
- ร่างกายกักเก็บน้ำมากเกินไป ทำให้ใต้ตาบวม
- เกิดได้จากอาหารเค็ม หรือฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง
- โรคหรือภาวะสุขภาพบางอย่าง
7.ภูมิแพ้ (Allergies)
- ปัญหาไต หรือร่างกายขาดสารอาหารบางชนิด

วิธีแก้ไขถุงใต้ตาและรอยคล้ำ “แบบไม่ผ่าตัด”
ปัจจุบันมีเทคนิคทางการแพทย์หลายวิธีที่สามารถช่วยฟื้นฟูใต้ตาให้กลับมาดูสดใสได้ โดยไม่ต้องผ่าตัด และเห็นผลได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ
1. ฟิลเลอร์ใต้ตา (Under Eye Filler)
เป็นการฉีดสารเติมเต็ม Hyaluronic Acid (HA) เข้าไปใต้ตา เพื่อเติมเต็มร่องลึก ปรับผิวให้เรียบเนียน และลดเงาดำที่เกิดจากแสงตกกระทบ
ข้อดี
- เห็นผลทันทีหลังทำ
- ใช้เวลาไม่นาน (ประมาณ 15–30 นาที)
- ไม่ต้องพักฟื้น
- สามารถสลายได้ หากไม่พอใจผลลัพธ์
ข้อควรระวัง
- ต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพราะใต้ตาเป็นจุดที่เสี่ยงต่อเส้นเลือด
- ผลลัพธ์อยู่ได้ประมาณ 8–12 เดือน
เหมาะกับใคร
- ผู้ที่มีร่องใต้ตาลึกแต่ยังไม่มีถุงไขมันมาก
- ผู้ที่มีใต้ตาคล้ำจากแสงและร่องลึก ไม่ใช่จากเม็ดสี
2. การฉีดมาเด้ (Mesoestetic Meso/MesoEye/คอลลาเจน)
“มาเด้” คือการฉีดสารอาหาร วิตามิน และกรดอะมิโนเข้าสู่ผิวใต้ตา เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต และฟื้นฟูผิวให้แข็งแรงจากภายใน
ข้อดี
- ช่วยลดรอยคล้ำใต้ตา
- ผิวดูชุ่มชื้นและสว่างขึ้น
- ไม่มีรอยแผล
- ปลอดภัย เหมาะกับผิวแพ้ง่าย
ข้อควรระวัง
- ต้องทำต่อเนื่อง 3–5 ครั้งขึ้นไปเพื่อให้เห็นผลชัดเจน
- ผลลัพธ์อยู่ได้ประมาณ 3–6 เดือน
เหมาะกับใคร
- ผู้ที่มีปัญหา “ใต้ตาคล้ำ” จากเม็ดสีหรือเส้นเลือด
- ผู้ที่ต้องการบำรุงผิวรอบดวงตาโดยรวม
3. เลเซอร์ใต้ตา (Laser Treatment)
เลเซอร์ใต้ตาช่วยลดเม็ดสีและกระตุ้นคอลลาเจนใต้ผิว เช่น Q-Switch, Pico Laser หรือ Fractional Laser เพื่อให้ผิวรอบดวงตาดูกระจ่างใสและเรียบเนียนขึ้น
ข้อดี
- ช่วยลดรอยคล้ำและริ้วรอยเล็ก ๆ
- กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่
- ปลอดภัย ไม่ต้องพักฟื้น
ข้อควรระวัง
- อาจมีรอยแดงหรือผิวแห้งเล็กน้อย 1–2 วันหลังทำ
- ต้องทำซ้ำต่อเนื่อง 3–5 ครั้งเพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจน
เหมาะกับใคร
- ผู้ที่มีรอยคล้ำจากเม็ดสี (pigment)
- ผู้ที่มีริ้วรอยเล็ก ๆ รอบดวงตา
4. การฉีดไขมันใต้ตา (Fat Grafting)
เป็นการดูดไขมันส่วนเกินจากร่างกาย (เช่น ต้นขา หน้าท้อง) แล้วฉีดกลับเข้าไปใต้ตา เพื่อเติมเต็มร่องลึกและลดความหย่อนคล้อย
ข้อดี
- ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ
- อยู่ได้นานกว่าฟิลเลอร์ (บางส่วนคงอยู่ถาวร)
- ใช้ไขมันของตัวเอง ปลอดภัย
ข้อควรระวัง
- ต้องทำโดยแพทย์ผู้มีประสบการณ์
- อาจมีบวมช้ำเล็กน้อยหลังทำ
- ราคาโดยรวมสูงกว่าวิธีอื่น
เหมาะกับใคร
- ผู้ที่มีถุงใต้ตาและร่องลึกชัดเจน
- ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ระยะยาว
เปรียบเทียบข้อดี–ข้อควรระวังของแต่ละวิธี
| วิธีการ | เห็นผล | ระยะเวลาผลลัพธ์ | เหมาะกับปัญหา | การพักฟื้น |
| ฟิลเลอร์ใต้ตา | ทันที | 8–12 เดือน | ร่องลึก ใต้ตาคล้ำ | ไม่มี |
| มาเด้ / MesoEye | 2–3 ครั้ง | 3–6 เดือน | ใต้ตาคล้ำจากเม็ดสี | ไม่มี |
| เลเซอร์ใต้ตา | 3–5 ครั้ง | 6–12 เดือน | เม็ดสี ริ้วรอย | แดงเล็กน้อย |
| ฉีดไขมันใต้ตา | ภายใน 1 สัปดาห์ | ถาวรบางส่วน | ถุงใต้ตา ร่องลึก | บวมนิดหน่อย |
สรุป
การแก้ไขถุงใต้ตาและรอยคล้ำไม่จำเป็นต้องผ่าตัดเสมอไป ปัจจุบันเทคโนโลยีความงามสมัยใหม่ช่วยให้สามารถฟื้นฟูใต้ตาได้อย่างปลอดภัย เห็นผลเป็นธรรมชาติ และใช้เวลาพักฟื้นน้อยมาก เพียงเลือกวิธีที่เหมาะกับสภาพผิวและปัญหาของตนเอง ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ